วิศวกรรมคุณค่ากับการลดต้นทุนการผลิต
วิศวกรรมคุณค่า หรือ
VE (Value Engineering) คือ การนำหลักทางทางวิศวกรรมเข้ามาช่วยในการวิเคราะห์กระบวนการต่างๆ
โดยมีจุดมุ่งหมายหลักคือ “การลดต้นทุนการผลิต”
การกำเนิดแนวคิดวิศวกรรมคุณค่า
วิศกรรมคุณค่าเกิดขึ้นในระหว่างสงครามโลกครั้งที่
2 (ค.ศ.1938-1945). สงครามโลกครั้งที่ 2 ทำให้เกิดการขาดแคลนวัตถุดิบ
โดยเฉพาะจำพวกโลหะ เหล็กทุกชนิด.
เช่นเดียวกัน
ประเทศสหรัฐอเมริกา
ก็ได้รับผลกระทบนี้มากแต่ในขณะเดียวกันก็มีความต้องการใช้วัสดุจำพวกนี้ในกิจการทางการทหาร
หนึ่งในนั้นก็คือ การผลิตเครื่อง Turbo Supercharger ให้ได้จำนวน 1000
เครื่องภายในระยะเวลาหนึ่งสัปดาห์เพื่อใช้สำหรับเครื่องบิน B-24 และ B-29. และในครั้งนี้เองนาย Lawrence Miles ซึ่งเป็นวิศวกรจัดซื้อของบริษัท General
Electric Company ประเทศสหรัฐอเมริกา
ได้รับคำสั่งให้หาวัตถุดิบและผลิตชิ้นส่วนเหล่านี้ ลองนึกภาพตามนะครับว่ามันจะสำคัญแค่ไหน
ในขณะที่กำลังเกิดสงครามอยู่แต่วัตถุดิบในการผลิตยุทโธปกรณ์ทางการทหารขาดแคลน
ภาระกิจที่หนักหนาสาหัสมากสำหรับในสถานการณ์เช่นนี้. แต่แล้ว นาย Lawrence
Miles เค้าก็สามารถพลิกวิกฤตให้เป็นโอกาส
เค้าพยายามแล้ว พยามอีก จนกระทั่งเกิดแนวคิดที่ว่า “ในเมื่อหาและผลิตมันไม่ได้
ทำไมไม่ลดหน้าที่การทำงาน (Function) ลงล่ะ” ซึ่งก็หมายถึง การตัดสิ่งที่ไม่จำเป็น
หรือเปลี่ยนไปใช้วัสดุอย่างอื่นแทนที่สามารถทำงานได้เหมือนกันโดยที่คุณภาพไม่ลดลง
แต่ต้นทุนต่ำลง. จึงเป็นที่มาของเทคนิค วิศกรรมคุณค่า หรือ Value
Engineering (VE) และมีการพัฒนาต่อเนื่องจนถึงปัจจุบัน
ทำวิศวกรรมคุณค่าไปทำไม?
วิศวกรรมคุณค่ามีเหตุผลหลัก
คือ “การลดต้นทุนการผลิต” โดย
- กำจัดส่วนเกิน
ต้นทุนวัสดุลดลง ทำให้ต้นทุนการผลิตลดลงไปด้วย
- เปลี่ยนไปใช้อย่างอื่นที่ใช้แทนกันได้
ซึ่งมีต้นทุนที่ต่ำกว่า คำว่าแทนกันได้หมายถึง ทำหน้าที่ได้เหมือนกัน
คุณภาพไม่ลดลง
- ลดกระบวนการให้สั้นลง
ผลิตงานได้เร็วขึ้น ทำให้ต้นทุนกระบวนการลดลง
วิศวกรรมคุณค่าไม่เพียงแต่สามารถลดต้นทุนการผลิตและส่งผลดีต่อหน่วยงานที่เกี่ยวกับการผลิตเท่านั้น
แต่ยังสามารถนำไปประยุกต์ใช้ได้ทุกสาขา
เนื่องจากวิศวกรรมคุณค่าเป็นกระบวนการทางความคิด กระบวนการทางการวิเคราะห์
กระบวนการหาเหตุผล จึงสามารถให้คุณค่า (Value) หลายๆ ด้านขึ้นอยู่กับการนำไปใช้งาน
ตัวอย่างแนวคิดในการประยุกต์ใช้
วิศวกรรมคุณค่า กับการทำงานในสาขาต่างๆ
1.ฝ่ายขาย
: สามารถลดต้นทุนการเดินทางไปลูกค้า
เช่น ค่าน้ำมัน, ค่าทางด่วน ได้โดย การวางแผนงานเดินทาง
โดยอาจแบ่งกลุ่มของลูกค้าตามวัตถุประสงค์และความสำคัญ เช่น การแบ่งกลุมของลูกค้าที่มีเปอร์เซ็นต์ในการขายรวมกันแล้ว
50% และแบ่งเป็นกลุ่มย่อยที่อยู่ในพื้นที่ใกล้เคียงกัน
แนวคิดนี้คือ การจัดกลุ่มของลูกค้าที่มียอดขายสูงให้มีความสำคัญเป็นอันดับแรก
ในเมื่อค่าน้ำมันต่อหนึ่งกิโลเมตรเท่ากัน
แล้วทำไม่เลือกที่ที่มันให้ผลตอบแทนสูงกว่าล่ะ
ส่วนลูกค้าที่มียอดขายต่ำกรณีอาจจะติดต่อด้วยวิธีอื่นที่มีต้นทุนต่ำกว่าก่อน เช่น
โทรศัพท์, ส่งอีเมล เป็นต้น
2.ฝ่ายออกแบบ
: ฝ่ายออก
แบบเป็นอีกกระบวนการหนึ่งที่สามารถนำแนวคิดของวิศวกรรมคุณค่ามาใช้ในการลด
ต้นทุนการผลิตได้อย่างหลากหลายเห็นเห็นภาพชัดเจนมากที่สุด
แต่ก็ไม่ง่ายเลยที่เดียวนะครับสำหรับกระบวนการออกแบบ
โดยเฉพาะชิ้นส่วนที่มีกระบวนการซับซ้อน
การเปลี่ยนแปลงทุกอย่างต้องมีเหตุผลทางด้านวิศวกรรมประกอบ
รวมทั้งต้องมีการทดลอง
ทดสอบ เพื่อยอมรับผลการเปลี่ยนแปลงนั้น.
นอกจากปรับเปลี่ยนภายหน่วยงานหรือองค์กรณ์แล้ว
บางครั้งการเปลี่ยนแปลงด้านการออกแบบก็ยังเกี่ยวข้องกับข้อกำหนดของลูกค้าด้วย
ซึ่งการขออนุมัติการเปลี่ยนแปลงกับลูกค้านั้นค่อนข้างยาก
แต่ก็ไม่ใช่ว่าจะทำไม่ได้เลยทีเดียว อาจะมีการนำเสนอในแนวทางที่ว่า
การเปลี่ยนแปลงนั้นไม่ได้ทำให้คุณสมบัติในการทำงานของลูกค้าลดลง(มีผลการทดลองประกอบ)
3.ฝ่ายวางแผนการผลิต
: การวางแผนการผลิตที่ดีจะต้อง
การหาระยะทางในการผลิตที่สั้นที่สุด ไม่มีการหยุดชะงักระหว่างการผลิต
การนำเทคนิควิศวกรรมคุณค่ามาใช้ในการวางแผนการผลิต เช่น การตัดกระบวนการที่ไม่จำเป็นออก,
การทำสต๊อกสำหรับบางกระบวนการ, เป็นต้น
4.ฝ่ายผลิต
: เทคนิควิศวกรรมการผลิตช่วยให้สามารถแยกแยะสิ่งที่จำเป็นและไม่จำเป็นในกระบวนการผลิตได้ดี
เช่น
กระบวนการสนับสนุนการผลิตบางอย่างไม่ได้ก่อให้เกิดผลผลิตโดยตรงอาจจะสามารถตัดออกได้
เป็นต้น
5.ฝ่ายคลังสินค้า
: วิเคราะห์หาปริมาณการจัดเก็บและการสั่งซื้อที่ต่ำที่สุด
ภายใต้เงื่อนไขว่าวัตถุดิบต้องมีเพียงพอต่อการผลิต, การวาง layout การจัดเก็บให้หาสินค้าได้ง่าย เพื่อความสะดวกในการควบคุมและการเบิกจ่าย
เป็นต้น
Thank you
ReplyDelete