Saturday, July 20, 2013

ระบบต้นทุนการผลิต (Cost System)


ต้นทุนการผลิตนั้นมีวิธีการคิดที่แตกต่างกันออก โดยทั่วไปจะแบ่งออกตามลักษณะของระบบการผลิต ดังนี้

1.ระบบต้นทุนสั่งทำ (Job Order Cost System)

ระบบงานสั่งทำหรือเรียกอีกอย่างหนึ่งว่า Make to Order การผลิตก็มีลักษณะเป็น Special มีความหลากหลายของผลิตภัณฑ์ จำนวนในการผลิตแต่ละผลิตภัณฑ์ก็ไม่มากนัก เครื่องจักรที่ใช้ในการผลิตก็จะเป็นเครื่องจักรที่ค่อนข้างจะทำงานแบบยืดหยุ่น (Flexible Machine) เครื่องกลึง, เครื่อง milling เป็นต้น ซึ่งสามารถทำงานได้หลากหลายรูปแบบขึ้นอยู่กับเทคนิคในการผลิต. และที่สำคัญกระบวนการในการผลิตก็จะแตกต่างกันออกขึ้นอยู่กับลักษณะรูปร่างของชิ้นงาน ซึ่งจะรวมถึงวัตถุดิบ ชิ้นส่วนประกอบต่างๆ ก็แตกต่างกันออกไปตามการออกแบบและความต้องการของลูกค้า.
                สำหรับการควบคุมต้นทุนการผลิตสำหรับระบบงานส่งทำนั้น จะยากตรงที่ความหลากหลายและซับซ้อนของกระบวนการที่แตกต่างกัน การควบคุมต้นทุนการผลิตที่จะเกิดประสิทธิภาพากที่สุดจำเป็นต้องได้รับความร่วมมือจากทุกๆ ฝ่ายที่เกี่ยวข้องอยู่ตลอดเวลา เริ่มตั้งแต่ฝ่ายขายต้องมีการประมาณการยอดขายสินค้าในแต่ละประเภทอย่างแม่นยำ สิ่งหนึ่งที่สังเกตได้คือ สินค้าประเภทสั่งทำ หรือ special นี้ จะมีระยะเวลาในการส่งงานค่อนข้างน้อย ความยากจะอยู่ที่การประมาณยอดขายนี่แหละ เพื่อที่จะลดปัญหาในการขาดสต๊อกของสินค้าซึ่งโดยทั่วไปจะไม่ทำการสต๊อกไว้มากเพราะมีปริมาณการออเดอร์ครั้งละไม่มาก ถ้าหากฝ่ายขายสามารถวิเคราะห์ตรงนี้จะแม่นยำก็จะสามารถลดปัญหาในการส่งมอบงานได้มากทีเดียว. ส่วนต่อมาก็คือฝ่ายออกแบบ ซึ่งงานประเภทนี้การออกแบบมากกว่า 80% เป็นงานใหม่ที่ต้องการออกแบบใหม่ทุกครั้ง ซึ่งค่อนข้างใช้เวลาในการออกแบบและทักษะพอสมควร การออกแบบที่ดี ถึงแม้ว่างานแต่ละครั้งจะมีความแตกต่างกัน ถ้าสามารถออกแบบให้ใช้ชิ้นงานร่วมกันกับงานอื่นได้ (Standard Part) ก็จะสามารถช่วยลดต้นทุนการผลิตในส่วนของการสต๊อกวัตถุดิบและชิ้นส่วนลงได้ รวมถึงถ้ามี Standard Part ยิ่งมากเท่าไหร่ ทำให้เราสามารถสั่งซื้อคราวละมาก และมีอำนาจต่อรองราคากับ Supplier เพื่อขอลดราคาให้ให้ต้นทุนการผลิตต่ำลงได้ และนอกจากนี้ในการออกแบบให้มีการใช้ชิ้นส่วนน้อยที่สุดเลือกใช้วัตถุดิบที่มีราคาถูก แต่ทั้งนี้ทุกอย่างในการออกแบบก็ต้องอยู่ภายใต้ข้อกำหนดผลิตภัณฑ์ของลูกค้าเท่านั้น หากมีการปรับเปลี่ยน การมีการนำเสนอและขอการอนุมัติจากลูกค้าก่อนเท่านั้น.

ส่วนต่อมาก็เป็นหน่วยงานคลังสินค้า (Store) มีส่วนกับการช่วยลดต้นทุนการผลิตคือ สต๊อกสินค้าเท่าที่จำเป็นเท่านั้นและมีปริมาณใช้อย่างเพียงพอ ความยากก็จะอยู่ที่การควบคุมวัตถุดิบและชิ้นส่วนที่เป็น Special นี่แหละที่หลายๆ บริษัทประสบปัญหากันอยู่มาก สำหรับเทคนิคและวิธีการควบคุมก็จะนำเสนอรายละเอียดในคราวต่อไป
                อีกหน่วยงานหนึ่งที่สำคัญไม่แพ้หน่วยงานที่กล่าวมาก่อนหน้านี้คือ หน่วยงานผลิต. ลักษณะของผลิตภัณฑ์ก็บอกอยู่แล้วว่าเป็นงาน Special ก็คือ มีลักษณะพิเศษที่แตกต่างๆ กันออกไปในแต่ละครั้ง ดังนั้นทักษะของพนักงานที่ต้องการย่อมสูงกว่างานประเภทผลิตคราวละมากๆ (Mass Production) แน่นอน มีความยากมากขึ้น โอกาสที่จะเกิดงานเสียมากขึ้นนั่นก็คือต้นทุนการผลิตที่เพิ่มขึ้นนั่นเอง. ดังนั้นวิธีการที่หน่วยงานผลิตจะช่วยลดต้นทุนการผลิตต้นทุนในการผลิตงานประเภทสั่งทำได้ก็คือ การลดของเสียในกระบวนการผลิต จะช่วยลดทั้งต้นทุนการผลิตของวัตถุดิบที่ต้องใช้, แรงงานและเวลาในการผลิตที่ต้องผลิตซ้ำ รวมถึงต้นทุนการผลิตอื่นที่เกี่ยวข้องทั้งหมด

จริงๆ แล้วก็จะมีหน่วยงานอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องด้วยเช่นกัน แต่ตามหน่วยงานที่ยกขึ้นมาจะเห็นภาพชัดเจนมากที่สุเมื่อมีการแบ่งระบบของต้นทุนออกตามระบบของการผลิต.

2.ระบบต้นทุนกระบวนการ (Process Cost System)

ต้นทุนกระบวนการจะใช้กับลักษณะของผลิตภัณฑ์ที่มีการสั่งซื้อและผลิตคราวละมากๆ (Mass Production) ในส่วนของฝ่ายขายก็จะเน้นในส่วนของการพยากรณ์ยอดขายโดยพิจารณาจากข้อมูลในอดีตเป็นรวมถึงการ connection ที่ดีกับลูกค้า การคาดการณ์ผลกระทบที่เกิดขึ้นในอนาคตด้วยปัจจัยต่างในอนาคต เช่น Product Life cycle หรือช่วงอายุของผลิตภัณฑ์ ซึ่งผลิตภัณฑ์ต่างๆ ก็จะมีอายุที่แตกต่างกันออกไป อย่างพวกรถยนต์ระยะแรกที่ออกรุ่นใหม่มา 1-2 ปี อาจมีการผลิตจำนวนมากออกมา ซึ่งถ้าหากเราเป็น Vendor หรือผู้รับจ้างช่วงผลิตชิ้นส่วนต้องมีการประมาณการการใช้พวกวัตถุดิบและการสต็อก Finished Good ที่แม่นยำเพื่อลดความสูญเสียของต้นทุนการผลิตที่เกินความจำเป็น. ส่วนในฝ่ายออกแบบก็คงจะต้องเน้นและสนับสนุนในทางการพัฒนาทั้งส่วนของโครงสร้างผลิตภัณฑ์ละกระบวนการผลิตเพื่อต้นทุนการผลิตมากกว่าที่จะออกแบบชิ้นงานใหม่ ซึ่งไม่ค่อยมีการปรับเปลี่ยนมากนัก. สำหรับผลิตภัณฑ์หรือชิ้นส่วนที่เกี่ยวข้องกับอุปกรณ์เทคโนโลยีอาจจะต้องมีการปรับเปลี่ยนมากเนื่องจากยุคไอทีและเทคโนโลยีที่มีการปรับเปลี่ยนอย่างรวดเร็วในปัจจุบัน ทำให้ผลิตภัณฑ์มีการเปลี่ยนแปลงบ่อย. ส่วนของหน่วยงานคลังสินค้าต้องมีการประสานงานกับฝ่ายขายเพื่อประมาณการการเก็บวัตถุดิบและชิ้นส่วนในการผลิตให้เพียงพอ, ส่วนของการผลิตก็เช่นเดียวกันต้องพัฒนากระบวนการและประสิทธิภาพให้เพิ่มมากขึ้น เนื่องจากงานประเภท Mass Production ค่อนข้างจะมีราคาขายที่ถูกกกว่างานแบบสั่งทำ ต้องมีระบบเฝ้าติดตามและวิเคราะห์กระบวนการอย่างต่อเนื่องให้เกิดความสูญเสียต่าง น้อยที่สุด เช่น ควบคุมเวลาของแต่ละกระบวนการอยู่อยู่ภายในเวลามาตรฐาน (Standard Time) ลดความผิดพลาดจากการผลิตโดยเฉพาะหากความผิดพลาดเกิดจากความเข้าใจผลิต ก็จะทำให้เกิดงานเสียเป็นจำนวนมากเนื่องจากมีการผลิตงานชนิดเดียวกันครั้งละมากๆ ทำให้เกิดต้นทุนการผลิตที่สูงกว่าที่ควรจะเป็น

3.ระบบต้นทุนมาตรฐาน (Standard Cost System)

ระบบต้นทุนมาตรฐานจะแตกต่างจากระบบต้นทุนแบบสั่งทำและระบบต้นทุนกระบวนการซึ่งสองแบบแรกจะใช้ข้อมูลในอดีตเป็นหลักในการวิเคราะห์ต้นทุนการผลิต เป็นต้นทุนการผลิตที่เกิดขึ้นจริง และใช้เพื่อวัตถุประสงค์ในการพัฒนาและหาแนวทางในการลดต้นทุนการผลิต ส่วนระบบต้นทุนมาตรฐานจะการวิเคราะห์และบริหารจัดการในเชิงระบบการตัดสินใจมากกว่าในระบบบริหารมากกว่า โดยจะมองในภาพรวม ทิศทางของต้นทุนการผลิตเป็นอย่างไร จะมีนโยบายในการบริหารจัดการต้นทุนอย่างไร. ต้นทุนมาตรฐานนี้จะไม่ผันแปรตามการผลิต ใช้เป็นเครื่องมือของฝ่ายบริหารจัดกี่ได้เป็นอย่างดี

No comments:

Post a Comment